วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โป้ พี่เก่ง พี่เป้ พี่เต้ อาร์ม และพี่ตั้ม Groove rider Horns section by aunztrumpet

บทความนี้ขอกล่าวถึงความเป็นมาของทีม Horns section ของ Groove rider ซึ่งปัจจุบันประจำอยู่กับพี่บุรินทร์ โดยพอสังเขปตามที่ผมเคยรับรู้และสัมผัสมาครับนะครับ

ทีมนี้มีแต่รุ่นพี่ของมหาวิทยาลัยของผม(มศว.)ซึ่งเริ่มมาจากวงสบายแบนด์ วงที่ทำให้ผมมีความคิดว่าจะทำงาน Horns section แบบเต็มตัวตั้งแต่ปีหนึ่ง เหตุการณ์ที่ผมรู้สึกคือ สมัยตอนที่พวกพี่ๆเล่นกันที่ Shelter (เลียบทางด่วนรามอินทรา) ผมมีโอกาสได้ไปดู ได้เห็นการทำงานของพี่ๆจนเกิดแรงบันดาลใจดังกล่าว

ในยุคนั้นทีมเครื่องเป่า สบายแบนด์ คือ พี่เก่ง (Altosax) พี่ตั้ม (Trumpet) พี่เต้ (Trombone) และเป็นทีมแรกๆที่ถูกทาบทามให้ทำงาน Back up กับค่ายเบเกอรี่ มิวสิค และอีกหลายๆค่ายเป็นหลัก ผมได้เห็นพี่ๆอีกครั้งในงาน Freshy Night ของมหาลัยในปี 2544 

จากนั้นก็ได้รู้จัก Groove rider มากขึ้น ด้วยพี่ๆ 3 คนของทีมนี้เล่น Back up ให้ครับ  โดยเฉพาะเพลงฮอร์โมน เป็นเพลงที่มีจุดเด่นในส่วนของ Horn section มากๆ  ปลื้มรุ่นพี่ตัวเอง 55

(ส่วนตัวครับ) ช่วงนั้น การสืบทอดวงในมหาลัยก็เกิดขึ้นพอดีโดย พี่ตั้งโอ๋ (Spicy disc) รุ่นพี่ในมหาลัย ชวนผมและเพื่อนๆร่วมกันก่อตั้งวงเป็นวงสาวสะดุ้งแบนด์ ที่รับอิทธิพลมาจากสบายแบนด์ซึ่งเป็น idol ทั้งภาค Rhythm และ Horn sectionเต็มๆ 

สาวสะดุ้งแบนด์ นำเพลงฮอร์โมน ของ Groove rider และเสียงสดๆที่เรียบเรียงใหม่ซึ่งต่างจากในแผ่นบันทึกของ Horns section วงสบายแบนด์ ไปประกวดในงาน Fat Band Rhythm & Horns (โดย Fat radio) เราได้รู้จักคำว่า Groove จากพี่ตุ่ม (มือเบสวง สบายแบนด์) จนได้รับรางวัล

(เข้าเรื่องครับ55) เวลาผ่านไป Groove rider ค่อยๆสร้างความนิยมจนสูงสุด และได้เพิ่มพี่เป้ Tenor sax ซึ่งเป็นนักดนตรีแจ๊สระดับประเทศ รุ่นพี่จากมหาลัยผมเช่นกัน มาร่วม กลายเป็น 4 คน จากทีมที่เป็น 3 แน่นและคมชัดอยู่แล้ว กลับกลายเป็นทีมที่มีซาวน์กว้างและมีพลังเพิ่มขึ้นไปอีก 

ภายหลังพี่ตั้ม (Trumpet) รู้สึกอยากจะหยุดพัก จึงสลับเปลี่ยนให้ โป้ ยุทธศักดิ์ พลายพู่ นักทรัมเปตอินดี้จากมหาลัยเกษตรศาสตร์ ระดับแชมป์ทรัมเปตของประเทศมาเล่นแทน ผมเคยได้ยินพี่ก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) มือเบสของวงกรูฟไรเดอร์ เล่าให้ฟังถึงการทาบทามโป้มาร่วมเล่นว่า สมัยนั้นมีเพลงที่ต้องอัดเสียงมันมีโน้ตสูงมากๆอยู่ตัวนึง ซึ่งปกติอ.อ้น (Surasi Chanoksakul) และพี่ปลาทอง(Plajazz) เป็นคนมาช่วยอัด แต่งานนี้คงต้องใช้นักเล่นเสียงสูงแบบแข็งแรงบ้าระห่ำ อ.อ้น จึงแนะนำให้โป้มาอัด จากนั้นโป้ก็ได้รับทาบทามให้มาเป็นสมาชิกใหม่ของ Groove rider Horns section รวมถึง อาร์ม (Baritone sax) จากม.มหิดล นักแซกและอาจารย์ระดับแนวหน้าของบ้านเรา ก็เข้ามาเป็นสมาชิกสุดท้ายของทีมนี้ด้วย (**รายละเอียดในคลิปด้านล่าง)

ทีมนี้ถือว่ามีสมาชิกที่เป็น idol ของผู้เล่นเครื่องเป่าหลายๆคน รวมไปถึงผม มาลองฟังวิธีการทำงานระดับ Professional ของพวกเค้าอีกทีมนึงครับ



ทิ้งท้ายความรู้สึกส่วนตัวของผมกับมือทรัมเปตแชมป์โลก โป้ ยุทธศักดิ์ พลายพู่

"ผมบอกตรงๆ ผมไม่ชอบหน้าพี่เลยตอนเจอกันครั้งแรก" โป้บอกกับผม แต่เชื่อไหม ผมจำตอนที่เจอกับโป้ครั้งแรกไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ แถมครั้งที่ 2 ผมยังทักมันผิดว่าเป็น โป้ว จากมหาลัยศิลปากรอีกด้วย 5555

ตั้งแต่รู้จักโป้ ผมบอกตามตรงว่า เด็กห่านี่ทำไมมันทำให้ผมเกรงใจได้ขนาดนี้ (ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพ ผมอยากพูดตรงๆ ขี้เกียจประดิษฐ์ประดอย) เรามีโอกาสได้ร่วมงานกันสมัยที่อยู่กับ Trumpet ยี่ห้อ P.mauriat ผมเป็นคนเชื้อเชิญเค้ามา เอาจริงๆก็ออกแนวบังคับน่ะคับ เพราะปกติโป้มันเป็นคนไม่ชอบทำไรโผงผาง ชอบอยู่เงียบๆสงบๆแบบของมัน แต่พอผมเล้าโลมจนมันยอมแล้ว โป้มันก็ไม่เคยทิ้งผมเลย แม้งานส่วนตัวมันจะยุ่งแค่ไหน ก็ยังตื่นเช้าและคอยคิดจัดแจงงานโปรโมททรัมเปตยี่ห้อนี้ตลอด เพราะคอนเซปของผมกับโป้คล้ายกันตรงที่ว่า ถ้ามีทรัมเปตดีดีราคาที่น้องๆซื้อไหวเพิ่มมาอีกสักยี่ห้อหนึ่ง เราคงได้นักทรัมเปตในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 

ระหว่างที่ผมกับโป้ทำงานร่วมกันสนิทกันมากขึ้น เราตั้งกรุ๊ป Trumpet society Thailand ด้วยกัน โดยหวังจะให้พี่ๆน้องๆและเพื่อนๆพบเจอกันแลกเปลี่ยนความคิด เฮฮาตามประสาคนแตรไทยอารมณ์กวนๆ ในช่วงนี้เอง วิถีชีวิตและความคิดของโป้มันสอนผมหลายเรื่อง ส่วนใหญ่คือเรื่องของความจริง ความเป็นจริง ในแบบที่มันเป็น แบบที่โป้มักจะพูดเสมอว่า "ผมอินดี้ครับพี่" 55 ผมยังจำเสียงของโป้มันได้ 

ก่อนหน้านี้ ผมบอกตรงๆว่าผมเป็นคนที่มีสมาธิและจิตใจไม่ค่อยนิ่ง คิดมาก คิดนู่นคิดนี้ เครียดง่าย แต่พอมาเจอโป้ มันทำให้ผมรู้หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของการตัดสินใจเด็ดขาดแบบไม่ต้องเกรงใจ ได้คือได้ ไม่ได้คือจบ ไม่มีโกรธ ไม่มีนินทา จบกันไปตรงนั้น แล้วเดินหน้าต่อ นี่น่าจะเป็นจุดยืนทีี่ทำให้โป้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง (ถ้ามันอ่านอยู่ มันจะบอกว่า เฮ้ย จริงหรอวะ บ้าละ) แต่สำหรับผม(กู) ผมคิดว่าคนอย่างโป้มันทำไรก็ได้ก็สำเร็จ เพราะมันไร้ซึ่งแรงกดดัน ไร้ซึ่งความคาดหวัง ไม่มีเสียงรอบข้าง ไม่มีการเปรียบเทียบ มีแต่เป้าหมายของตัวเอง และที่สำคัญการกระทำและทุกคำพูดของไอโป้ ไม่มีสิ่งไหนไม่จริงใจ... 

aunztrumpet

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แซมมี่ เขต เซิน ปั๋ม Jetset'er - Horns section... ดนตรี มิตรภาพ Work!

แหม่... มาพูดถึงทีม Horn section ทีมนี้ ผมน้ำตาจะไหล เพราะสนิทเป็นการส่วนตัวมากๆ

ใครจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา รวมถึงวิธีคิด การทำงาน กระทั่งการดำเนินชีวิตที่หล่อหลอมให้ทีมนี้เป็นทีมที่มีแต่คนรักและยกย่อง ผมขอเล่าให้ฟังจากที่เคยสัมผัสมาน่ะครับ

จริงๆบอกตามตรงว่าอยากให้ชมวีดิโอก่อน เพราะจะเข้าใจความลึกซึ้งของพวกเขา แต่อย่างว่าล่ะครับ อ่านก่อนรู้จักเค้าก่อนแล้ววีดิโอที่ท่านชม จะประทับใจแบบที่ผมเป็นระหว่างตัดต่อ นี่ล่ะ Horn section ในฝันของหลายๆคน ทั้งการแสดง ท่าเต้น การเอ็นเตอร์เทนผู้ชม รูปลักษณ์ การแต่งตัว รวมถึงนิสัยของพวกเค้าทั้งหมด

เมื่อดีก็ย่อมมีมุมของคนคอมเม้นท์ครับ มันคู่กันเสมอ ทีมนี้คือทีมที่ถูกแซวเรื่องการเรียบเรียง Line Horn section มากที่สุด เพราะมีการเขียนที่ไม่ซ้ำทวน สร้างความหลากหลายตลอด ตัวผมเองก็เคยแอบบ่น โห.. เล่นลำบากมากเลย ตามไม่ทันน่ะ แบบนี้ต้องขอซ้อมก่อน ไม่น่าไหว เกาะตามใครไม่ได้เลย หลุดเป็นยาว หาไม่เจอแน่นอน (ผมเป็นคนขี้บ่นน่ะครับ)

"แต่ทุกอย่างนั่นมันไม่ใช่เสน่ห์ของทีมเค้าหรอคับ"...
"แล้วถ้ามันยาก มันวุ่นวาย ทำไมทีมนี้ถึงประสบความสำเร็จ มีงานจ้างตลอดปี แทบไม่ได้พัก"...

จากนี้... ขออนุญาติกล่าวถึงทีละคนนะครับ 



แซมมีี่ trumpet เป็นคนเรียบเรียงลาย Horn section งานของ Jetset'er ทั้งหมด ทำมาหลายชุด รวมถึงเพลงประกอบละครด้วย ผมว่าหนุ่มหน้าขาวคนนี้ ไม่ธรรมดาหรอกครับ กว่าจะมายืนถึงตรงนี้ได้ รับรองเจ็บและฝึกฝนมาเยอะเลยล่ะ ยังไม่จบครับ นอกจากงานในแบบนี้ เค้ายังเป็นคนที่เขียนเพลงให้กับวงโยธวาฑิตทั้งวง และเคยเขียนเพลงประกวดสำหรับวง Orchestra ได้รางวัลมาแล้ว ดังนั้นเค้าจะเขียนจะทำงานอะไร ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เค้าอัดเต็มแมกซ์ ไม่สนเรื่องสตางค์ ผลงานเค้าจึงออกมาเหมือนผลงานสุดท้ายที่ดีที่สุดของชีวิตเสมอๆ 

เขต หรือ รัฐเขต นัก Saxophone หนุ่มน้อยหน้าใสคนนี้มาจากเชียงใหม่ และฝึกฝนฝีมือจนขึ้นระดับ Jazz saxophone แนวหน้าของประเทศที่มหาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์มหิดล สำหรับผม เขตเป็นคนที่มีการวางระบบชีวิตได้อย่างลงตัว มองการไกล และมีฝัน ที่สำคัญมารยาทและความจริงใจของเค้า ทำให้ใครๆอายมาแล้วนับไม่ถ้วน ความคล่องตัวและความเป็นตัวของตัวเองของเขต หลายๆคนสามารถนำไปเป็นแบบอย่างได้เลย (สัมผัสได้จากวีดิโอครับ) ผมเองก็ยังนำเอาความคิดของเค้ามาปรับใช้ในการฝึกฝน แม้ผมจะอายุมากกว่าเขตหลายปี แต่วิธีคิดของเค้าผมเอามาใช้อย่างไม่เขอะเขิล จากนี้ผมก็จะคอยตามดูงานของเค้าในอนาคต 

ปั๋ม Trombone สมาชิกใหม่ของทีมนี้ เข้ามาแทนเซิน ซึ่งเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ปั๋มเป็นน้องชายของเพื่อนรักผมสมัยประถม เห็นกันตั้งแต่เล็ก ขนาดล้อชื่อพ่อได้ครับ 55 แถมปั๋มยังเป็นรุ่นน้องวงโยฯที่โรงเรียนเดียวกับผม (สารสิทธิ์) เดิมที ปั๋มเป็นคนทรอมโบนที่มุ่งเรื่องการเล่นดนตรีคลาสสิคมาก ไม่เคยจะคิดสักแว่บนึงว่าจะมาเล่นดนตรีแบบนี้ ทรอมโบนที่ใช้ก็ยังเป็น Bass trombone แบบที่ใช้ได้แค่วงคลาสสิค ภายหลังมาเล่นแบบนี้ปั๋มจึงซื้อทรอมโบนเล็ก (Tenor Trombone) มาเพิ่ม เพื่อทำให้ทีมแข็งแกร่งและมี Sound ในแบบที่ทีมต้องการ จากใจที่เคยมีแต่โลกของดนตรีคลาสสิคของปั๋มได้ถูกเปิดออก และผสมผสานกับโลกใบใหม่อย่างลงตัวด้วยดนตรีที่หลากหลาย ปัจจุบันส่วนตัวผมดีใจมากที่ปั๋มมาเล่นดนตรีในสายนี้และเป็นแบบอย่างให้กับน้องๆในเรื่องของการเปิดโลกเปิดใจรับสิ่งใหม่ โดยที่สิ่งเก่ายังคงคุณภาพไม่เสียหาย

เขียนมาก็ยาวครับ คราวนี้มาถึง Hi-light ของผม "เซิน Trombone ณ บ้านโป่ง" 

เซินเคยโทรมาถามผม "พี่คับ ผมอยากเล่นแบบพี่ ต้องทำไง??" ผมแนะนำเซินว่า "ลองไปเล่น CU Band สิ ในนั้นมีดนตรีหลายแนว เพื่อนและ Contact เยอะ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีในตอนนี้นะ" สิ่งที่ผมแนะนำเซินไปไม่ได้ช่วยให้เซินมีทีมเล่นแบบผม แต่เค้าได้เพื่อนที่ดีมาคนหนึ่งแทน  สุดท้ายเค้าก็มาเริ่มเล่นกับทีม Jetset'er นี่ล่ะ โดยการชักชวนของแซมมี่ จากนั้นทุกสิ่งที่เค้าอยากได้ เค้าทำด้วยตัวเองล้วนๆ ด้วยความพยายาม ความมุ่งมั่น รักษามาตราฐานของตัวเอง แถมนิสัยขี้เล่นของเซินทำให้มีแต่คนรัก คนจึงส่งเสริมสิ่งที่เค้าทำ ปัจจุบัน เซิน ศึกษาต่อด้านทรอมโบนที่ประเทศเบลเยี่ยม คอยติดตามผลงานและการนำสิ่งใหม่ๆของเค้าสู่วงการดนตรีทรอมโบนบ้านเราครับ

เซินกับแซมมี่ลุยกับวง Jetset'er มาตั้งแต่งานเริ่มก่อตั้งวงนี้ เล่นฟรี อัดฟรี ทุกอย่างฟรี มีการดูแลที่ดีจากพี่ๆ jetset'er ที่สู้ทำวงและอยู่กันด้วยใจ ภายหลังเริ่มมีความนิยม มีงานจ้าง พี่ๆวงนี้ก็ไม่เคยทิ้งทีมนี้ ยังคงอยู่ด้วยกันและดูแลกันแบบพี่น้อง หารายได้เข้าสู่ทีมนี้ไม่หยุดหย่อน นี่คือความน่ารักและตัวอย่างของวง Jetset'er วงที่เป็น idol ของหลายๆคนครับ







สุดท้ายนี้ ผมขอบรรยายความรู้สึกส่วนตัวของผมต่อพวกเค้า ซึ่งพวกเค้าเองก็อาจจะไม่รู้ เอาแบบไม่อายเลยนะครับ ผมชอบพูดเรื่องจริง

ปี 2553 ผมตกงาน ลำบากกระทั่งไม่มีรายได้มากินข้าวและชำระหนี้สิน เพียงแค่น้องกลุ่มนี้รู้ข่าวว่าผมลำบาก  เมื่อไหร่ที่มีโอกาสให้ผมไปเล่นแทนได้ เค้าจะป้อนงานให้ผมมีรายได้ วางแผนให้ผมประคองตัวเองไปได้ แม้ผมจะเล่นเพลงของพวกเค้าไม่ได้(เลย) แต่เค้าไม่เคยสน กลับต้องมาทำให้ผมสนุกไปกับพวกเค้า เพื่อลืมความเครียดในการเล่น นี่คือความรู้สึกที่ผมอยากบอกพวกเค้าทั้งหมด ขอบคุณ ขอบคุณมากที่ให้เกียรติและช่วยเหลือกันเสมอ 



aunztrumpet

บทเรียนคาบสุดท้าย ก่อนจากลาในฐานะอาจารย์พิเศษ

สำหรับการทำงานด้านนี้ ผลการสอนของผมไม่ค่อยคืบหน้า จริงๆไม่ใช่พร้อมผมไม่ว่าง แต่ผมไม่อาจทำให้นักเรียนมีแรงบันดาลใจและขยันซ้อมได้ ถือว่าผมไม่ประสบความสำเร็จ

ผมเป็นคนที่ชอบให้เรียกว่าพี่ มากกว่าอาจารย์ นักเรียนคนนี้ใครเรียกผมว่าอาจารย์ ผมมักด่าและทำเป็นหงุดหงิดใส่ ไม่ได้อารมณ์เสียหรอกครับ ผมแกล้งเล่น และส่วนตัวผมคิดว่า คำว่านำหน้า "อาจารย์" ยังไม่เหมาะกับผม ผมจะใช้คำนั้นได้ก็ต่อเมื่อ ผมส่งพวกเค้าถึงฝั่งเท่านั้นเอง

ผมมักให้คะแนนแปลกๆ มีแค่ A,B และก็ F ตกเลย แต่เอาจริงๆก็ไม่เคยให้ใครตกหรอกครับ ใจไม่ถึง เพียงแต่หลอกตาไปอย่างนั้น อยากให้เค้ารับผิดชอบแม้น้อยนิดก็ยังดี เพราะการที่เราเลือกจะมาเรียนดนตรี อันดับแรก เรามักจะต้องชอบการเล่นดนตรีเป็นชีวิตจิตใจก่อน แล้วถ้าเป็นแบบที่ว่านี้ มันจะตกได้ไงล่ะ เพราะนักเรียนทุกคนก็ต้องซ้อมทุกวัน

แต่ที่นี่เป็นคณะเปิดใหม่ครับ ยังต้องการนิสิตที่มีความสนใจจำนวนมากเพื่อนำเข้ามาเป็นจำนวนให้สามารถคณะอยู่ต่อได้ ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวก็ทำให้ไม่สามารถเลือกเด็กได้ ฝีมือไม่เกี่ยวขอเพียงใจรัก อยากเรียนเท่านั้นพอ แบบนี้ก็เป็นกับทุกคณะที่เปิดใหม่ ความหมานไม่ได้แปลว่าไม่เก่งรับหมด แต่หมายถึงให้โอกาสทางการศึกษามากกว่า ผมคิดแบบนั้น

ในปีแรก ผมได้รับสอนกลุ่มเครื่องเป่าลมทองเหลืองทั้งหมด (ทรัมเปต,ฮอร์น,ทรอมโบน,ทูบา,ยูโฟเนียม) จำนวน 8 คน บอกตามตรง มันยากมากๆ ถ้าคิดทำให้ทุกอย่างเฟอเฟค ทุกคนเล่นได้ดี ในเวลาแค่ 2 ชม. สุดท้ายก็สอนเกิน ลากไปยันเย็น หมดแรงกลับบ้าน คอแตกตามระเบียบ

แรกๆผมคิดจะหลอกแดก โดยการสอนแม่งแบบเป่ารวมๆกัน ให้ครบชม. แล้วกลับบ้านก็น่าจะจบ แต่ผมกลับบ้านมานั่งคิด อะไรทำให้คนเราพยายามทำทุกอย่าง และมุมานะให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ คำตอบที่ได้คือ "ความรัก" และไอของที่ว่านี้จะเอาจากไหนดีหว่า สรุปคือต้องหา "แรงบันดาลใจ" ให้พวกเค้า แล้วการทำงานของผมจะง่ายและตรงเป้าขึ้น

เวลาผ่านไป 1 ปี ได้บ้างไม่ได้บ้างกระท่อนกระแท่น สมาธิของผมแหลกละเอียด เพราะไม่สามารถบังคับให้ทุกคนซ้อมและมีแรงบันดาลใจได้ ผมมักพูดมากกว่าเป่า หรือที่เรียกว่าโม้นั่นล่ะครับ วิธีนี้มันอาจจะทำให้เค้าเข้าใจเป้าหมาย เดินทางไปอย่างมั่นคง ทำทุกอย่างด้วยความเข้าใจและความรักอย่างว่า ไม่ใช่เป็นนกแก้วนกขุนทองเป่าแจ้วๆไปวันๆ เอาแค่ให้เสร็จ ให้รอด ไม่มีอนาคต ไม่รักดนตรีจริง

เราตั้งกลุ่มเฟสบุคขึ้นเพื่อสื่อสาร ส่งงาน ให้กำลังใจกัน โต๋,พงษ์,อาร์ท,น้ำ,บิว,ป่าน และ โบ้ ทุกคนหลากหลายสไตล์ แต่มาด้วยสายวงโยฯทั้งหมด บางคนมีฝัน บางคนติดเพื่อน บางคนเพิ่งย้ายเครื่อง บางคนรักการสอนวงโยฯ บางคนสมาธิสั้น ฯลฯ และรวมไปถึง ไม่มีเครื่องมือเป็นของตัวเอง ด้วยเวลาเรียนทั้งวันกว่าจะเลิกก็เย็น ห้องเบิกเครื่องต้องปิด เพราะเป็นเวลาทำงานของแม่บ้าน ไม่มีอะไรอำนวยให้พวกเค้าซ้อม แถมยิ่งไม่มีแรงบันดาลใจ ยิ่งจบลงเหวง่ายขึ้นไปอีก

สิ่งที่ผมประทับใจคือใน Class ของเรา ทุกคนถามสิ่งที่อยากรู้ มีคำถามมาถามผมเสมอ บางเรื่องผมไม่รู้เพราะต่างเครื่องมือ ผมก็อาศัยไปหาเอา ไม่ก็แนะนำให้ไปแอดเฟสบุคของเพื่อนๆน้องๆแล้วถามเพิ่มเติม ทุกคนก็ไปทำเท่าที่ทำได้ ผมขอบคุณมาก

จวบจนเข้าปีที่ 2 ของการทำงาน ผมได้รับงานน้อยลงคือสอนแค่ทรัมเปตอย่างเดียว แต่มีนักเรียนมาเพิ่มอีก 4 คน รวมเป็น 7 คน (น้อยลง1 คน) คราวนี้ผังการสอนผมง่ายขึ้น ผมหลอกให้พวกเค้า(ปี2)ไปหาเพลงที่ชอบ นักทรัมเปตที่ชอบ หาประวัติมา เค้าก็หามากัน ส่งทางเฟสบุคเหมือนเคย ผมก็รู้ว่าเค้าไม่ค่อยได้มีเวลา ต่างหากันมาอย่างล่กๆ ไม่ได้ดูว่าเพลงนั้นๆเล่นได้จริงๆกับความสามารถของเค้ารึป่าว ผมเป็นครูเค้า เห็นชื่อเพลงแว่บเดียวก็รู้ แต่ก็ทำเนียนและให้กำลังใจ อย่างน้อยเป่ากันได้ท่อนนึงหรือช่วงนึงของเพลง มันคงจะทำให้ความสามารถและการอยากเรียนรู้ของเค้าเพิ่มขึ้น รวมไปถึงเพลงหนักขนาดนี้ ยังงัยเค้าก็คงตั้งใจซ้อม ซ้อมมากขึ้น ไฟลนก้น ผลักดันกันไป

แม้จะไม่ประสบความสำเร็จกับวิธีนี้มากนัก แต่ผมก็เพิ่มอีกวิธีเข้าไป คือการเข้า Work shop และการ Master Class โดยการที่ผมบังคับให้คะแนน แต่ผมก็รู้ว่ายังงัยก็คงไม่ไปกันอีก จึงลางานรอไปรับไปส่ง เพราะเข้าใจสภาพเงินในกระเป๋าและการเดินทางที่ยากของกรุงเทพเรา เอาหน่าช่วยๆกัน ดีกว่าผมเอาตังไปสร้างพระ ผมคิดแบบนั้น

เมฆ, หยก, ปุ้ย และ ตั้ม คือนักเรียนใหม่ที่เข้ามาเรียนกับผม มาแบบเดิมหลากหลายสไตล์ของตัวเอง สำหรับตั้มจะค่อยข้างเข้าใจอะไรง่ายหน่อย เพราะอายุมากเรียนจจากมหิดลมาก่อน มีเบสิคเพียงแต่ไม่มีเวลาฝึกซ้อมเอาจริงจัง คำถามแรกที่ผมถามเค้าคือ "เอาจริงรึป่าว?" เค้าตอบ "ครับพี่ ผมเสียเวลามามากแล้วกับอะไรก็ไม่รู้" ดีใจด้วยครับ แม้อายุจะมากแล้วแต่ยังคิดได้ นั้นคือกำไรของชีวิต ส่วน เมฆ ความสามารถคล่องตัว แทบเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ แต่ผมก็รู้ว่าคนแบบนี้จะมีความเป็นเองสูง มักจะหาเหตุผลกับการบ้านของผมเสมอ แต่ไม่ถาม ปล่อยเลยตามเลย เมฆทำได้ทุกครั้งหลังจบชม. แต่กลับมาอีกวันเค้ามักจะลืม และเราต้องทวนกันใหม่ ไม่เป็นไร อาจเป็นเพราะผมอาจจะไม่ใช่ไอดอลของเค้าจึงไม่สามารถอธิบายและสื่อสารให้เค้าเข้าถึงแก่นแท้ได้ แต่ผมไม่เคยโกรธและน้อยใจ เพราะเด็กก็คือเด็ก วันนึงหากผมช่วยอะไรเค้าได้ เมื่อเค้าได้อาจารย์ที่เหมาะกันเค้า ความสามารถที่ว่ามันจะออกมาอย่างรวดเร็ว แล้ววันนึงคงได้พบกันในงานสักแห่งนึง สุดท้าย 2 สาว หยกและปุ้ย ผมใช้แบบฝึกหัด Essentail Element สอนเค้า ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดสำหรับเด็กเริ่มหัด ผมไม่ได้ดูถูกเค้า แต่ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เค้าต้องการ และมันจะทำให้เค้าสนุกกับการฝึก เพราะดูเหมือนเค้าจะผ่านการเล่นดนตรีแบบง่าย เช่นการต่อเพลงแล้วเป่าเลย แต่สำหรับมหาวิทยาลัย มันไม่ใช่ ไม่มีใครมานั่งสอนอ่านโน้ต ไม่มีใครมานั่งปรบมือให้เป่าทีละตัวโน้ต แบบฝึกหัดนี้น่าจะสะดวกกับเค้ามากที่สุด แถมยังมี Duet ให้เค้าเล่นไปพร้อมๆกัน น่าจะทำให้เค้าช่วยกันได้

เวลาผ่านไปได้สัก 2-3 สัปดาห์ ผมเริ่มเข้าใจโลกมากขึ้น ทุกอย่างมีเวลาของมัน แต่เราเป็นครูต้องมีหน้าที่เคี้ยวเข็นให้เค้าทำได้เร็วที่สุด มานั่งรอให้มีแรงบันดาลใจบ้าบอคอแตก หรือมีความรักห่าเหวอะไรไม่ได้หรอก สอนแบบนี้ สอนไปผมก็มีแต่จะพาพวกเค้าลงเหว ไม่พัฒนา แถมเสียเวลากันทั้งหมด ความจริง ผมน่าจะหลับหูหลับตาสอนไป เอาตารางมาบังคับพวกเค้า ให้ลุยให้ทำสไตล์วงโยฯแล้วค่อยเติมความรักเข้าไปทีหลัง

พี่ขอโทษที่คิดวิธีการสอนให้พวกเราผิดแปลกไปจากปกติ ไม่เหมือนชาวบ้าน ขอโทษที่ทำให้พวกเราเสียเวลา และเสียเงินค่าเทอม แถมยังบังคับอะไรที่พวกเราไม่ต้องการ บทเรียนี้ทำให้พี่รับรู้และโตขึ้นเช่นกันว่าระบบการศึกษาของบ้านเรา วิธีแบบไทยๆมันคงต้องเริ่มจากการบังคับแล้วค่อยเจียระไนถึงจะสามารถได้ดีได้ครับ

หากได้พบกันข้างนอกคราวหน้า ก็ทักทายกันบ้าง หากมีอะไรที่พี่ช่วยได้ก็บอกมานะครับ พี่จะคอยช่วยอยู่เสมอ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว ไม่ทิ้งกันหรอกครับ

I'll be there

aunztrumpet


วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รุ้ง ต่าย นุก Teddy Ska Band Horns sction -- The idol of Ska by aunztrumpet

ฮิค ฮิค ฮิค... ได้ยินเสียงแบบนี้คงไม่ต้องบอกว่าดนตรีแนวอะไรครับ ดนตรีที่ทำให้เราตื่นตัว ไม่แดนซ์ ไม่โยก ไปหาหมอด่วนครับ ^^~

Teddy Ska Band สำหรับผม คือวงที่ทำให้ประทับใจกับการแสดงทุกครั้ง Energy ของพวกเขาช่างล้นเหลือ เอาคนดูอยู่ตลอดการแสดง

ส่วนตัวผมรู้จักวงนี้มานานเสียจนลืมไปว่าประมาณปีไหน  แต่ที่แน่ๆ เค้าเป็นตำนานดนตรีแนว Ska ของประเทศอีกวงที่ใครๆก็รู้จัก ไม่รู้นี่เชยนะ 

ประมาณ 2548 ผมทำงานอยู่ที่ RS มักไปชมวงนี้บ่อยๆที่ Brick Bars ถนนข้าวสาร ทุกครั้งที่ไป รุ้ง (trumpet) กับ ต่าย (Trombone) จะมานั่งคุยและต้อนรับตามประสาเพื่อนเล่นเครื่องเป่าด้วยกัน 2 คนนี้ ไม่สิ วงนี้แต่เดิมสมาชิกก่อตั้งมาจาก มหาลัยราชภัฏพระนครครับ ปัจจุบันเป็น Generation ที่ 3 แล้ว (ประมาณ) เมื่อก่อนจะมีต้น ร้องนำ แชมป์ Violin โย Bass และพี่ชายของโย เล่นคองก้า ผมยังจำภาพนั้นได้ โคตรมันส์ บอกตรงๆ ภายหลังความมันส์ต่อเนื่องจากการเปลี่ยนสมาชิกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเข้่ไปอีก เช่น แอนท์ นักร้อง นุ๊ก Saxophone เมฆ Bass ความลงตัวและสีสันของเค้าก็พัฒนาไปอีก แฟนเพลงก็เพิ่มขึ้นตามระดับ จนทุกวันนี้เค้ามีทัวร์คอนเสิร์ตของตัวเองมากมาย 

แน่นอนครับผมลืมแนะนำอีกคน ซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักของวงมาตั้งแต่เริ่ม โชแปงค์ มือกลอง หัวใจของ Teddy ska band สิ่งที่ทำให้ทุกคนจำเค้าได้ นอกจากการเล่นกลองที่มันส์แล้ว คือเสียง "แซ๊งกิ้ว" ของเค้า ใครที่เคยได้ยิน รับรองจำแม่นและติดหูครับ 

ลีลาการโชว์ของวงว่ากันคร่าวๆแต่เห็นภาพเลย นอกจาก แอ๊น นักร้องที่มีลีลาและพลังเสียงสุดขีดแล้ว คือ ทุกคนเดินทั้งเวที  ยกเว้นโชแปงค์ เพราะตีกลอง แต่การตีกลองของเค้า มันส์จนมีแต่คนจ้องนะ เอาคนดูให้มันส์ตั้งแต่ต้นจนจบ เล่นเพลงในอัลบั้มของตัวเอง แฟนเพลงเปล่งเสียงร้องตามกัน เครื่องเป่าทีมนี้นอกจากจะวิ่งเป่า บางทีกระโดด (นึกภาพเอาเอง) โอ้ย..โคตรมันส์

สำหรับ Teddy Ska Band ผมคนนึงที่ยกย่องหัวใจและการทำงานของพวกเค้า เป็นวงที่จัดอันดับต้นๆในใจผม สิ่งสำคัญอีกเรื่อง ผมเคยชวนเค้าไปเล่นงานการกุศลไม่มีสตางค์ ไม่มีแม้ข้าวให้กิน ไม่มีอะไร แถมยังต้องยกเครื่องมาเอง แค่บอกว่าการกุศล Teddy Ska Band พร้อมลุยครับ 

มาชมแนวคิดวิธีทำงานของ Horn section ของ Teddy Ska Band รุ้ง,ต่าย,นุ๊ก ขวัญใจและ Idol ของชาวเครื่องเป่ากันครับ


aunztrumpet

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Plajazz พีี่มายด์ พี่ต้น JRP Little Bigband Horn section by aunztrumpet

หากคุยกันเรื่องของวงบิ๊กแบนด์ในประเทศไทย นอกจากวงเฉลิมราชย์, Bangkok international Bigband, CU Band, TU Band, KU Band ที่มีชื่อเสียงสร้างความมันส์มายาวนานตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่   คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จัก JRP little Bigband  วงดนตรีที่ปัจจุบันได้ครองใจวัยรุ่นและศิลปินมากมายนับไม่ถ้วน

วงนี้มีอายุมากกว่า 10 ปีครับ ผมจำได้แม่น เพราะวงนี้กำเนิดมาจากอ.นิค ลาเฟลอ นักแซกโซโฟน ที่มาสอนโรงเรียนมีฟ้า นอกจากสอน อ.นิคยังมีอัลบั้มและร่วมงานกับศิลปินไทยหลายท่านด้วย (ปัจจุบันอ.นิคเล่นทรัมเปต เพราะประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับนิ้ว) 

สมัยนั้นโรงเรียนมีฟ้าเป็นสถานที่แรกๆที่มีการเรียนการสอนดนตรี Jazz รวมถึงเปิดสอบรับทุน 50-100% ผมเองในสมัยนั้นอยู่ประมาณมัธยม 6 มาสอบชิงกับเค้าด้วย ได้ 50% แต่ไม่ได้มาเรียน เสียดายโอกาสตรงนี้มากๆ แต่ตอนนี้ผมอยากเป็นนักวาดการ์ตูนมากกว่า

ถ้าผมจำไม่ผิด คนที่สอบได้ทุน 100% ก็จะมี พี่มายด์ จากม.เกษตร และพี่ปลาทอง จาก CU band (พี่ปลาทอง #Plajazz เป็น นศ.คณะวิศวะฯ ไม่ได้เรียนดนตรีมาโดยตรงครับ) แล้ว 2 ท่านนี้ก็อยู่วง JRP little Bigband นี้ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน

ภายหลังก็มีการสลับเปลี่ยนกันเข้ามาเล่น อาทิ พี่ต้น สาธิต ตำแหน่งทรอมโบน ซึ่งเป็นนักทรอมโบนระดับอาจารย์ของประเทศเรา ส่วนตัวผมได้พบพี่ต้นสาธิตครั้งแรกที่งาน Recital จบ ของอ.อ้น ที่ม.เกษตร ในช่วง Brass Quintet แล้วผมก็มีโอกาสได้เล่นกับพี่ต้นที่วง Bangkok international Bigband ที่โรงแรมเชอราตัน สุขุมวิท เป็นครั้งคราว 

เรื่องฝีมือและความคล่องตัวของทีมนี้ ผมว่าเกินบรรยายครับ เพราะเค้าทำงานกันหนัก จากการโน้ตเพลงบิ๊กแบนด์ที่มีหลายชิ้น ต้องมาทำให้เหลือแค่ไม่กี่ชิ้น แล้วยังแสดงได้อย่างเต็มที่ขนาดนี้ คนที่ได้ชมประทับใจขนาดนี้ และอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนได้ยาวนาน รวมถึงมีค่ายเพลง Classy ติดต่อให้ทำอัลบั้มวางจำหน่ายแล้ว (หลังจากปฏิเสธมาหลายค่าย) ช่างน่าสนใจวิธีการทำงานของเค้าครับ  ไปชมกันดีกว่า... 



aunztrumpet



วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อาจารย์หมู สมภพ พึ่งปรีดา Jazz idol ของผม

วันนี้ผมตั้งใจเขียนบทความนี้ถึงเรื่องของความรู้สึกผมต่ออาจารย์หมูโดยตรง หลังจากได้รู้จักอาจารย์เป็นพูดคุยกันและเล่นดนตรีกันกับตัวมา 2 ปีกว่า... 

จริงๆแล้ว ผมได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์หมูมานานกว่านั้น จากเพื่อนคนนึง เค้าบอกผมว่าไปชมบิ๊กแบนด์ที่โรงแรมแห่งหนึ่งแล้งพบกับอาจารย์หมู เกิดความประทับใจในการเล่นดนตรีของท่าน เลยนำมาเล่าให้ผมฟัง 

"อาจารย์หมู Super มี" นี่คือชื่อเสียงที่ผมได้ยินและจำมาจนวันนี้...

แน่นอนครับ คนทรัมเปตทุกคนย่อมชอบการเล่นเสียงสูง รวมไปถึงชอบฟังคนทีี่เป่าเสียงสูงมากๆ สูงมากจริงๆ  เพราะมันทำให้เกิดความประทับใจ อึ้งและทึ่งกับความมหัศจรรย์นั้น ซึ่งผมเองก็เป็น

อาจารย์หมู จบจากโรงเรียนสวนกุหลาบ ซึ่งในยุคนั้นโรงเรียนสวนกุหลาบมีชื่อเสียงในเรื่องการเรียนการสอนวงดุริยางค์มาก จนได้รับรางวัลการประกวดวงโยธวาฑิตแห่งประเทศไทยเป็นโรงเรียนแรก

ไม่แปลกครับที่อาจารย์หมูจะมีความสามารถในระดับสูงตั้งแต่ยังอยู่มัธยม จนได้ร่วมเล่นดนตรีกับวงมีชื่อเสียงต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ 

แต่สำหรับผม อาจารย์หมูเป็น Idol ในเรื่อง Soloist (นักบรรเลงเดี่ยว) ผมชอบโทนเสียง และการอิมโพรไวท์ของท่านเป็นการส่วนตัว บอกตามตรงผมลืมเรื่องเสียงสูงสนิท เพราะส่วนตัวผมชอบฟังดนตรีเพราะๆ เล่นและถ่ายทอดออกมาจากข้างใน สร้างเรื่องราวการอิมโพรไวท์ได้เข้าใจ โดยไม่สนเรื่อง Show off ใดใดทั้งสิ้น

แบบนี้ล่ะดนตรี ดนตรีที่ผมอยากฟัง ดนตรีของอาจารย์หมู ถ่ายทอดอารมณ์ต่างๆผ่านบทเพลงนั้นๆ เพลงเศร้าก็เศร้ร เพลงสนุกก็สนุก ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์ของเพลงและดำเนินเรื่องจินตนาการไปตามเพลงเมื่อ Solo มีสมาธิไม่หลุด Concept

เสียดายที่ผมมีโอกาสได้เล่ยกับอาจารย์แค่ปีละครั้ง โดยอาศัยการ jam session ตามงาน Festival ต่างๆ เพราะท่านจะมาเป็น Host อยู่เสมอ

แม้จะน้อย แต่ผมก็ไม่อยากพลาด เพราะผมคิดว่า การได้ฟังดนตรีจากคนที่เราอยากฟัง รวมไปถึงได้ร่วมเล่นกับเค้าแค่สักเพลง ชีวิตผมก็โคตรจะมีความสุขแล้ว หลายๆคนน่าจะมีความรู้สึกนี้ เพราะผมอธิบายไม่ได้จริงๆครับ 

แล้วเมื่อวานก็เป็นอีกวันที่ผมได้ยินเสียงของท่านและร่วมเล่นกับท่าน

ผมมีความสุขที่ได้เล่นดนตรีกับอาจารย์หมู และขอบคุณอาจารย์มากครับที่มาแสดงและมาเป็น Host ให้เราได้มีโอกาสดีดีแบบนี้..  โอกาสในการที่ได้เล่นกับ Idol ของตนเอง 


aunztrumpet



วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อีสาน Drum line สิ่งเตือนใจคนดนตรีอย่างผม

ผมไม่มีข้อมูลมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะมัวแต่สนใจแต่เรื่องการเตรียมพร้อมงาน Yamaha Brass Festival  2013  ได้แค่ดูข่าวสารจากเฟสบุคและสื่อต่างๆทางโทรทัศน์ ข่าวที่มาแบบวูบๆ แว่บๆ...

ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงคนดนตรีที่กำลังศึกษาและเล่นดนตรีแบบนี้อยู่ครับ

ผมทราบมาบ้างว่าการแข่งขันแบบนี้เป็นการแข่งแบบเครื่องกระทบประกอบจังหวะ ทั้งที่มีระดับเสียงและไม่มีระดับเสียง ซึ่งสมัยนี้ในบ้านเราฮิตกันมาก บางที่เรียกว่า Bettery หรืออะไรต่างๆ ผมไม่แน่ใจ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะกล่าวถึง สิ่งที่ผมกำลังจะกล่าวคือเรื่องของการนำเสนอมากกว่า คือความเป็นคนบ้านนอกที่รักบ้านเกิด

แน่นอนครับดนตรีบ้านเกิดของเราคือดนตรีไทย ดนตรีไทยเป็นไง จำกันได้ไหมครับ ค้างคาวกินกล้วยหรอ? อ่า..ใช่ครับ แล้วดนตรีพื้นบ้านล่ะ? อะไรดี เพลงเกี่ยวข้าวไหม? โปงลาง? ลำตัด? หรือจะเพลงการละเล่นดี รีรีข้าวสาร? เคยฟังไหมครับ? หลายๆท่านอาจจะลืมและเบื่อหน่ายกับสิ่งต่างๆที่เป็นของตายในบ้านเราเหล่านี้ ต่างถูกคุกคามโดยสังคมอาณานิยมกันหมด มีแต่เสียงกีต้าร์ไฟฟ้า กลองชุด แม้กระทั่งเสียงเปียโน ใส่สูทมาบรรเลงเท่ห์ให้ฟัง  ....แต่ยังโชคดีที่เนื้อเพลงยังเป็นภาษาไทย แม้ควบกล้ำจะไม่เหลือก็ตาม

ผมเองก็ไม่ได้อนุรักษ์นิยมขนาดนั้นหรอกเดี๋ยวจะหาว่าปากดี แค่เห็นชื่อผมก็มีฝรั่งต่อท้ายเต็มๆละ (aunztrumpet) 555 เครื่องดนตรีไทยผมก็เล่นไม่เป็นสักชิ้น เคยเขย่าอังคะลุงมาสมัยก่อน(ป.๔) ตอนนี้ก็กลอ(เขย่าเร็วๆ) ไม่ค่อยเป็นละ  แต่ผมก็ยังเป่าเพลงไทยนะ และยังมีโอกาสได้เล่นเพลงไทยเดิมกับขุนอิน และวงกรมประชาสัมพันธ์(เพลงครูเอื้อ สุนทรสนาน) ที่ผมทำงานอยู่ด้วย

กลับมาเรื่องของพี่น้องอีสานดรัมลายน์ (เดี๋ยวจะพาล่มปากอ่าวอีก) ผมมองมุมของภูมิปัญญามากกว่าความเฉลียวฉลาด ประโยคที่พูดถึง ผมหมายความว่า ด้วยภูมิปัญญาที่เค้ามีและการนำสิ่งรอบข้าง สิ่งที่น้องๆผู้แสดงทุกคนรู้จักและสัมผัสมันตั้งแต่เกิด เพลงที่เค้าคลุกคลีมันจนอยู่ในสายเลือด รวมถึงการประกอบท่าทาง เสื้อผ้าที่เกิดจากสายตาที่มองเห็นมาตั้งแต่เกิด มันง่ายขึ้น.... เพราะทำในสิ่งที่รู้ซึ่งดีมากอยู่แล้ว ดังเช่น ทุกวันนี้เราหัดพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ถ้าเราย้อนคิดกลับ ทำไมกูต้องพูดอังกฤษด้วยวะ ??? เป็นคำถามในใจผมตั้งแต่เด็ก เวลาฝรั่งจะมาเอาอะไรจากประเทศเรา เราจำเป็นต้องหัดพูดภาษาเค้าแล้วก็ให้เค้ามาทำการค้าในบ้านเราหรอ ในเมื่อเค้าเห็นบ้านเราดี อยากลงทุน อยากได้ ทำไมมันไม่หัดพูดภาษาเราวะ (นี่ความคิดผมนะ แต่ความเป็นจริงคงไม่ใช่) เช่นเดียวกัน ถ้าอีสานดรัมลายน์ แสดงแบบฝรั่งเลย ฝั่งจ๋า เล่นเพลงฝรั่ง แล้วไปประกวดครั้งนี้ คู่แข่งเยอะจนระบม และอาจจะเสร็จเค้า เพราะมันเป็นดนตรีบ้านเค้า เค้าตีลังกาเล่นยังไงแม่งก็ใช่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราซ้อมแทบตายซ้อมมากกว่าเค้า ถึงไม่ใช่วะ....นี่คือเหตุผลครับ    -"-

นี่ล่ะตัวอย่างของครูและทีมงานรุ่นใหม่ที่จะทำให้วงการดนตรีของบ้านเราไปนานาชาติได้ (อย่างมั่นคงและแน่นอน) ที่ผมกล้ายืนยัน เพราะผมคิดว่ายังงัยฝรั่งก็คือฝรั่ง จะมาตีกลองยาวสู้เด็กอีสานดรัมลายน์ได้ไงหว่า เพราะเสียงกลองยาว เราได้ยินมาตั้งแต่เกิด ถึงตีไม่เป็นแต่ก็ฟังรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ การศึกษาดนตรีไทยหรือดนตรีพื้นบ้านของประเทศเราอาจจะไม่ได้มีทฤษฏีอะไรมากมาย นั่นอาจเป็นเพราะ "เสียงเพลงเกิดก่อนทฤษฏี" ทุกคนที่เล่นดนตรีไทยจะอาศัยความซึมซับและเรียนรู้ด้วยการต่อเพลง ครูพักลักจำ ไปกินนอนอยู่บ้านครูคนตรี ได้ยินมันทั้งวี่ทั้งวัน และทุกวิถีทางที่ทำให้ตนเองเหมือนครูมากที่สุด

"ผมว่านี่อาจเป็นความลับที่ครูดนตรีซ่อนไว้..เลยไม่มีการทำบันทึกโน้ตแบบสากล..."

เพราะเค้าอาจจะรู้ว่า วันนึงถ้าสมบัติหรือผลงานที่เค้าสร้างมาถูกฝรั่งเอาไปใช้ได้ แล้วลูกหลานเค้าจะกินจะอยู่อย่างไร ??

และแล้วบทสรุปสุดท้ายก็ออกมาเป็น อีสานดรัมลายน์ กลุ่มคนและทีมงานที่มีประสิทธิภาพด้วยภูมิปัญญาแบบคนไทย "ไม่เป็นกบฏต่อวัฒนธรรมตนเอง และไม่พยายามหาตัวเองในวัฒนธรรมฝรั่ง"

ขอแสดงความนับถือทีมงานและทุกท่านที่สนับสนุน
เหงื่อและแรงงานทุกหยดเป็นตัวอย่างและสิ่งจารกไว้ของวงการแล้วล่ะครับ

อ่ะ..ไปดูกันนะครับ ^^




#ใครไม่สน
#กูสน

aunztrumpet

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เตรียมงาน Brass Fest 2013 - Art of Horns section

ช่วงนี้ผมคลุกตัวอยู่กับการเตรียมงาน Brass Festival 2013 เอาจิงๆ ไม่ตื่นเต้นเรื่องการขึ้นเวทีเลย แต่ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะนำเสนอมากกว่า -"-
ผมนั่งไล่สัมภาษณ์พี่น้องที่ทำงานในแขนง Brass section ในแบบต่างๆ แต่ละกลุ่มยึดอาชีพนี้แทบจะเป็นหลักและประสบความสำเร็จ คือทีม JRP little bigband, Teddy Ska band, Groove Rider, Jetset'er, Soul After six 
ทีมเหล่านี้มีลักษณะต่างกันแต่เหมือนกันอยู่เรื่องนึงคือ เรื่องวิธีการซ้อม ทุกคนจะจัดการตัวเองมาก่อน แม้หากได้โน้ตทีหลังหรือระหว่างเล่น (First Sight) จะมีสมาธิ หากหลุดแล้วไม่หลุดทีเดิมอีก เพื่อลดการสร้างปัญหาให้ทีม แลัความมั่นคงมาตราฐานของตนเอง นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับนักดนตรีอาชีพอย่างเราๆครับ
ในวีดิโอก็จะมีพูดถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละทีมไป หลากหลายแนว สิ่งที่เค้าเหล่านั้นพูดคือการศึกษาแนวเพลงที่ตัวเองเล่น เพื่อเอาสำเนียง กลิ่น และองค์ประกอบเหล่านั้นมาทำการแสดงให้"ใช่"
แต่สำหรับผมลำบากมาก เพราะเล่นทุกแนว ผมไม่มีแนวประจำ ไม่เลือกงาน เพราะปกติมีงานน้อยน่ะคับ
อย่างทีมผมจะเหนื่อยกับงานที่อยู่ประจำรายการ The Voice Thailand เหนื่อยตรงที่ต้องเล่นทุกแนวครับ และต้องเล่นให้ได้ อย่าเขิลอย่าอาย ทุกอย่างออกอากาศสด หน้าที่เรามัน Backup ส่งเสริมนักร้อง ทำให้เค้าไปสู่สวรรค์ (หมายถึง ให้เค้าร้องสบายถ่ายทอดได้เต็มแมกซ์) จึงต้องฟังและจำสำเนียงต่างๆให้ได้ เป่าลูกทุ่งกลายเป็นสุนทราภรณ์นี่ก็ตายเลยนะ (บางคนคิดว่ามันใกล้กันมาก แต่เอาจริงๆคนละเรื่องเลย)
ในงานนี้ผมและทีมจะอธิบายเรื่องนี้ด้วย จะเล่นกันสดๆให้รู้ว่ามันแตกต่างกันมาก ผมศึกษามาจริงๆเพราะต้องใช้มันทำงาน เลี่ยงไม่ได้ แต่ผมเข้าใจง่าย เพราะผมชอบ ผมไม่เคยทำหน้ายี้ใส่เพลงพวกนี้ แต่ผมจะยี้ใส่หากเจอคนที่เล่นไม่ใช่แล้วรั้นหรืออ้าง  ดนตรีแนวนี้ผมว่าเข้าเส้นได้ง่าย เพราะมันอยู่ในสายเลือด มันผลิตคำร้องและสำเนียงมาจากภาษาไทยที่เราพูดทุกวัน
ถ้าว่างก็พบกันครับ 17 สค. 2556 อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันเยอะๆแบบนี้ แต่ผมจะทำให้เีที่สุดครับ 

aunztrumpet



วงดนตรีในอุดมคติผม (1)

การทำงานกับคนหมู่มาก อย่างเช่นวงดนตรีทีีมีสมาชิกหลายคน สิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับผม คือเรื่องของความรักและให้เกียรติกัน 
เมื่อผมได้เล่นดนตรีกับคนที่รัก แน่นอนผมจะทำทุกอย่างที่ผมทำได้อย่างดีที่สุด เพื่อจะได้ไปสนุกกับวงกับคนกลุ่มนั้นเร็วๆ
ส่วนการให้เกียรติกัน ผมมองเรื่องของความพอดี พอดีในส่วนหรือตำแหน่งของการเล่น ทีม ความเหมาะสม ความไม่มี"**ดารา"ประจำวง รวมถึงการที่สามารถพูดและบอกได้ในทุกๆกริยาการเล่น 
ตอนนี่ผมกำลังได้วงใหม่ วงที่ผมใฝ่ฝัน วงที่คิดแบบเดียวกัน วงที่มีมุมมองเรื่องการเงินน้อยกว่าเรื่องคุณภาพ และที่สำคัญ "เค้าให่้เกียรติผม"... 

aunztrumpet



วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

(เพราะ)เสียงเพลงเกิดก่อนทฤษฎี....



(เพราะ)เสียงเพลงเกิดก่อนทฤษฎี.... ฟังเพลงกันก่อนเนอะ จากวง 8 ไม้เท้าครับ


    


เพลงเพราะไหมครับ 555 (ปรับมือ)....

 วันนี้ผมหยิบยกเรื่องราวนี้มาขีดเขียนลงในบทความของ Trumpetsociety เพราะความหมายดังกล่าวมันช่างเปิดวิสัยทัศน์ของผมเหลือเกิน   ตลอดเวลาเราเรียนรู้วิธีการในการเล่นดนตรีและการทำอะไรๆมามาก ทั้งจากหนังสือ คำบอกเหล่า ลองผิดลองถูก ต่างๆนานา แต่ลืมไปว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมันล้วนมาจาก "ความบังเอิญ"


  "ความบังเอิญ" ที่ว่านี้ผมขอยกตัวอย่างเสียงเพลง เสียงดนตรี เพราะจะได้เข้ากับชื่อเรื่องนะครับ ไม่งั้นเด๋วผมจะไปเรื่อยพาล่มปากอ่าวซะหมด 555   

ทุกท่านว่าเสียงดนตรีเกิดมาจากการทดลอง หรือมาจากความบังเอิญครับ ส่วนตัวผมคิดว่า มันน่าจะมาจากความบังเอิญ เพราะเอาจริงๆใครจะมานั่งคิดว่านี่คือเสียงโด เร มี ฟา... ถ้าเค้าไม่ได้ยินมันมาก่อน.... เนอะ พอได้ยินมันเหล่านั้นแล้วชอบ อยากให้มันอยู่ไปนานๆ ก็เลยจับมันมากลายเป็นนู่นนี่ มาตั้งชื่อ มาเอาหลักการเรื่องของความถี่ต่างๆ ระบุและจำกัดมันให้เป็นรูปร่างมากขึ้น (เสียงไม่มีรูปร่างครับ หรือใครเคยเห็นบอกผมหน่อย ผมจะไปถ่ายคลิปออกรายการ)

    ในปกติเราจะรู้ได้ว่าโน้ตจะมี 7 เสียงตามระบบ (ชื่อไม่ซ้ำกันเลย) คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที แต่ถ้าเริ่มเรียนดนตรีจะรู้ว่ามันมี 12 เสียงครับ (คือเพิ่งครึ่งเสียงของแต่ละเสียงเข้าไป ยกเว้นระหว่าง มี,ฟา กะ ที,โด) หารู้ไม่ว่า

ในอินเดียมีตั้ง 24 เสียงแนะ ไม่รู้ไปเอามาจากไหน 5555 แต่มันก็เรื่องจริงอะนะ มีมาเป็นพันๆปีแล้ว   เราก็ฟังเพลงกันอยู่แค่ 12 เสียงนี้เป็นหลักมาเป็นร้อยๆปีครับ มีเป็นล้าน ล้าน ล้าน เพลงที่อยู่บนโลก ทำให้คนมีความสุนทรีย์ มีสุข มีเศร้า กับเพลงต่างๆ 

  งั้นคราวนี้เราเอาความสุนทรีย์ดังกล่าว เช่นเสียงแห่งความยินดี "เสียงปรบมือ" ไปหาโน้ตกัน...


".........................................."



  555 ผมหาไม่ได้ง่ะ ใครหาได้บอกหน่อย เราจะได้มีทฤษฏีเสียงปรบมือกำหนดมาไว้สร้างบทเพลงกัน อาจจะเป็นเสียงที่ 25 ของโลกที่บัญญัติไว้ก็ได้นะครับ   

บางท่านอาจจะหาได้(จน)ครับ แต่เราไม่สามารถเลียนแบบความรู้สึกของเสียงนั้นไว้ทำบ่อยๆ เหมือน โด เร มี กลับกันเราต่างรอฟังเสียงปรบมือเหล่านี้ ทุกครั้ง เพื่อสร้างความสุขให้กับชีวิต นี่รึป่าว "เสียงเพลงเกิดก่อนทฤษฏี" เหมือนที่ชื่อเพลงด้านบนว่าไว้ .... ^"^

  ดังนั้นผมอยากทุกท่านลองเปิดใจกว้างๆ รับฟังเสียงเพลง เสียงต่างๆที่มีความสุข อยู่กับเสียงเหล่านั้น อย่าพิธีรีตองมาก อย่ามานั่งค้นหาหรือสร้างกรอบให้กับเสียงเหล่านั้น จนเกิดอาการเสียอารมณ์จนเป็นนิสัย... 

  ความหมายด้านบนมันไม่ได้หมายความว่า ทุกๆเสียง ทุกๆเรื่องราว จะน่าฟังหรือน่าสนใจเสมอไปครับ เพียงแต่อยากให้ลองเปิดหูเปิดใจฟังหรือมองอะไรๆ แบบไม่ต้องเอาทฤษฏีหรือกฏเกณฑ์มาปิดบังความสุนทรีย์ของเรา ปล่อยอารมณ์ให้ไปกับเสียงเพลง ไร้ซึ่งคำอธิบาย ซึมซับอรรถรสของดนตรี 

"เพื่อกลับสู่ธรรมชาติ อย่างมีความสุข"

  นอกจากเรื่องเสียงดนตรีที่ผมพูดถึง ลองเอาไปเปรียบเทียบกับเรื่องใกล้ตัวท่านด้วยก็ได้นะครับ

 ...........................................................​​​​ .... ​ ... ............ ... .. .. .. . .. ......... .. .......

 "ฟังก่อน..เด๋วค่อยว่ากัน "
  aunztrumpet