วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทเรียนคาบสุดท้าย ก่อนจากลาในฐานะอาจารย์พิเศษ

สำหรับการทำงานด้านนี้ ผลการสอนของผมไม่ค่อยคืบหน้า จริงๆไม่ใช่พร้อมผมไม่ว่าง แต่ผมไม่อาจทำให้นักเรียนมีแรงบันดาลใจและขยันซ้อมได้ ถือว่าผมไม่ประสบความสำเร็จ

ผมเป็นคนที่ชอบให้เรียกว่าพี่ มากกว่าอาจารย์ นักเรียนคนนี้ใครเรียกผมว่าอาจารย์ ผมมักด่าและทำเป็นหงุดหงิดใส่ ไม่ได้อารมณ์เสียหรอกครับ ผมแกล้งเล่น และส่วนตัวผมคิดว่า คำว่านำหน้า "อาจารย์" ยังไม่เหมาะกับผม ผมจะใช้คำนั้นได้ก็ต่อเมื่อ ผมส่งพวกเค้าถึงฝั่งเท่านั้นเอง

ผมมักให้คะแนนแปลกๆ มีแค่ A,B และก็ F ตกเลย แต่เอาจริงๆก็ไม่เคยให้ใครตกหรอกครับ ใจไม่ถึง เพียงแต่หลอกตาไปอย่างนั้น อยากให้เค้ารับผิดชอบแม้น้อยนิดก็ยังดี เพราะการที่เราเลือกจะมาเรียนดนตรี อันดับแรก เรามักจะต้องชอบการเล่นดนตรีเป็นชีวิตจิตใจก่อน แล้วถ้าเป็นแบบที่ว่านี้ มันจะตกได้ไงล่ะ เพราะนักเรียนทุกคนก็ต้องซ้อมทุกวัน

แต่ที่นี่เป็นคณะเปิดใหม่ครับ ยังต้องการนิสิตที่มีความสนใจจำนวนมากเพื่อนำเข้ามาเป็นจำนวนให้สามารถคณะอยู่ต่อได้ ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวก็ทำให้ไม่สามารถเลือกเด็กได้ ฝีมือไม่เกี่ยวขอเพียงใจรัก อยากเรียนเท่านั้นพอ แบบนี้ก็เป็นกับทุกคณะที่เปิดใหม่ ความหมานไม่ได้แปลว่าไม่เก่งรับหมด แต่หมายถึงให้โอกาสทางการศึกษามากกว่า ผมคิดแบบนั้น

ในปีแรก ผมได้รับสอนกลุ่มเครื่องเป่าลมทองเหลืองทั้งหมด (ทรัมเปต,ฮอร์น,ทรอมโบน,ทูบา,ยูโฟเนียม) จำนวน 8 คน บอกตามตรง มันยากมากๆ ถ้าคิดทำให้ทุกอย่างเฟอเฟค ทุกคนเล่นได้ดี ในเวลาแค่ 2 ชม. สุดท้ายก็สอนเกิน ลากไปยันเย็น หมดแรงกลับบ้าน คอแตกตามระเบียบ

แรกๆผมคิดจะหลอกแดก โดยการสอนแม่งแบบเป่ารวมๆกัน ให้ครบชม. แล้วกลับบ้านก็น่าจะจบ แต่ผมกลับบ้านมานั่งคิด อะไรทำให้คนเราพยายามทำทุกอย่าง และมุมานะให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ คำตอบที่ได้คือ "ความรัก" และไอของที่ว่านี้จะเอาจากไหนดีหว่า สรุปคือต้องหา "แรงบันดาลใจ" ให้พวกเค้า แล้วการทำงานของผมจะง่ายและตรงเป้าขึ้น

เวลาผ่านไป 1 ปี ได้บ้างไม่ได้บ้างกระท่อนกระแท่น สมาธิของผมแหลกละเอียด เพราะไม่สามารถบังคับให้ทุกคนซ้อมและมีแรงบันดาลใจได้ ผมมักพูดมากกว่าเป่า หรือที่เรียกว่าโม้นั่นล่ะครับ วิธีนี้มันอาจจะทำให้เค้าเข้าใจเป้าหมาย เดินทางไปอย่างมั่นคง ทำทุกอย่างด้วยความเข้าใจและความรักอย่างว่า ไม่ใช่เป็นนกแก้วนกขุนทองเป่าแจ้วๆไปวันๆ เอาแค่ให้เสร็จ ให้รอด ไม่มีอนาคต ไม่รักดนตรีจริง

เราตั้งกลุ่มเฟสบุคขึ้นเพื่อสื่อสาร ส่งงาน ให้กำลังใจกัน โต๋,พงษ์,อาร์ท,น้ำ,บิว,ป่าน และ โบ้ ทุกคนหลากหลายสไตล์ แต่มาด้วยสายวงโยฯทั้งหมด บางคนมีฝัน บางคนติดเพื่อน บางคนเพิ่งย้ายเครื่อง บางคนรักการสอนวงโยฯ บางคนสมาธิสั้น ฯลฯ และรวมไปถึง ไม่มีเครื่องมือเป็นของตัวเอง ด้วยเวลาเรียนทั้งวันกว่าจะเลิกก็เย็น ห้องเบิกเครื่องต้องปิด เพราะเป็นเวลาทำงานของแม่บ้าน ไม่มีอะไรอำนวยให้พวกเค้าซ้อม แถมยิ่งไม่มีแรงบันดาลใจ ยิ่งจบลงเหวง่ายขึ้นไปอีก

สิ่งที่ผมประทับใจคือใน Class ของเรา ทุกคนถามสิ่งที่อยากรู้ มีคำถามมาถามผมเสมอ บางเรื่องผมไม่รู้เพราะต่างเครื่องมือ ผมก็อาศัยไปหาเอา ไม่ก็แนะนำให้ไปแอดเฟสบุคของเพื่อนๆน้องๆแล้วถามเพิ่มเติม ทุกคนก็ไปทำเท่าที่ทำได้ ผมขอบคุณมาก

จวบจนเข้าปีที่ 2 ของการทำงาน ผมได้รับงานน้อยลงคือสอนแค่ทรัมเปตอย่างเดียว แต่มีนักเรียนมาเพิ่มอีก 4 คน รวมเป็น 7 คน (น้อยลง1 คน) คราวนี้ผังการสอนผมง่ายขึ้น ผมหลอกให้พวกเค้า(ปี2)ไปหาเพลงที่ชอบ นักทรัมเปตที่ชอบ หาประวัติมา เค้าก็หามากัน ส่งทางเฟสบุคเหมือนเคย ผมก็รู้ว่าเค้าไม่ค่อยได้มีเวลา ต่างหากันมาอย่างล่กๆ ไม่ได้ดูว่าเพลงนั้นๆเล่นได้จริงๆกับความสามารถของเค้ารึป่าว ผมเป็นครูเค้า เห็นชื่อเพลงแว่บเดียวก็รู้ แต่ก็ทำเนียนและให้กำลังใจ อย่างน้อยเป่ากันได้ท่อนนึงหรือช่วงนึงของเพลง มันคงจะทำให้ความสามารถและการอยากเรียนรู้ของเค้าเพิ่มขึ้น รวมไปถึงเพลงหนักขนาดนี้ ยังงัยเค้าก็คงตั้งใจซ้อม ซ้อมมากขึ้น ไฟลนก้น ผลักดันกันไป

แม้จะไม่ประสบความสำเร็จกับวิธีนี้มากนัก แต่ผมก็เพิ่มอีกวิธีเข้าไป คือการเข้า Work shop และการ Master Class โดยการที่ผมบังคับให้คะแนน แต่ผมก็รู้ว่ายังงัยก็คงไม่ไปกันอีก จึงลางานรอไปรับไปส่ง เพราะเข้าใจสภาพเงินในกระเป๋าและการเดินทางที่ยากของกรุงเทพเรา เอาหน่าช่วยๆกัน ดีกว่าผมเอาตังไปสร้างพระ ผมคิดแบบนั้น

เมฆ, หยก, ปุ้ย และ ตั้ม คือนักเรียนใหม่ที่เข้ามาเรียนกับผม มาแบบเดิมหลากหลายสไตล์ของตัวเอง สำหรับตั้มจะค่อยข้างเข้าใจอะไรง่ายหน่อย เพราะอายุมากเรียนจจากมหิดลมาก่อน มีเบสิคเพียงแต่ไม่มีเวลาฝึกซ้อมเอาจริงจัง คำถามแรกที่ผมถามเค้าคือ "เอาจริงรึป่าว?" เค้าตอบ "ครับพี่ ผมเสียเวลามามากแล้วกับอะไรก็ไม่รู้" ดีใจด้วยครับ แม้อายุจะมากแล้วแต่ยังคิดได้ นั้นคือกำไรของชีวิต ส่วน เมฆ ความสามารถคล่องตัว แทบเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ แต่ผมก็รู้ว่าคนแบบนี้จะมีความเป็นเองสูง มักจะหาเหตุผลกับการบ้านของผมเสมอ แต่ไม่ถาม ปล่อยเลยตามเลย เมฆทำได้ทุกครั้งหลังจบชม. แต่กลับมาอีกวันเค้ามักจะลืม และเราต้องทวนกันใหม่ ไม่เป็นไร อาจเป็นเพราะผมอาจจะไม่ใช่ไอดอลของเค้าจึงไม่สามารถอธิบายและสื่อสารให้เค้าเข้าถึงแก่นแท้ได้ แต่ผมไม่เคยโกรธและน้อยใจ เพราะเด็กก็คือเด็ก วันนึงหากผมช่วยอะไรเค้าได้ เมื่อเค้าได้อาจารย์ที่เหมาะกันเค้า ความสามารถที่ว่ามันจะออกมาอย่างรวดเร็ว แล้ววันนึงคงได้พบกันในงานสักแห่งนึง สุดท้าย 2 สาว หยกและปุ้ย ผมใช้แบบฝึกหัด Essentail Element สอนเค้า ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดสำหรับเด็กเริ่มหัด ผมไม่ได้ดูถูกเค้า แต่ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เค้าต้องการ และมันจะทำให้เค้าสนุกกับการฝึก เพราะดูเหมือนเค้าจะผ่านการเล่นดนตรีแบบง่าย เช่นการต่อเพลงแล้วเป่าเลย แต่สำหรับมหาวิทยาลัย มันไม่ใช่ ไม่มีใครมานั่งสอนอ่านโน้ต ไม่มีใครมานั่งปรบมือให้เป่าทีละตัวโน้ต แบบฝึกหัดนี้น่าจะสะดวกกับเค้ามากที่สุด แถมยังมี Duet ให้เค้าเล่นไปพร้อมๆกัน น่าจะทำให้เค้าช่วยกันได้

เวลาผ่านไปได้สัก 2-3 สัปดาห์ ผมเริ่มเข้าใจโลกมากขึ้น ทุกอย่างมีเวลาของมัน แต่เราเป็นครูต้องมีหน้าที่เคี้ยวเข็นให้เค้าทำได้เร็วที่สุด มานั่งรอให้มีแรงบันดาลใจบ้าบอคอแตก หรือมีความรักห่าเหวอะไรไม่ได้หรอก สอนแบบนี้ สอนไปผมก็มีแต่จะพาพวกเค้าลงเหว ไม่พัฒนา แถมเสียเวลากันทั้งหมด ความจริง ผมน่าจะหลับหูหลับตาสอนไป เอาตารางมาบังคับพวกเค้า ให้ลุยให้ทำสไตล์วงโยฯแล้วค่อยเติมความรักเข้าไปทีหลัง

พี่ขอโทษที่คิดวิธีการสอนให้พวกเราผิดแปลกไปจากปกติ ไม่เหมือนชาวบ้าน ขอโทษที่ทำให้พวกเราเสียเวลา และเสียเงินค่าเทอม แถมยังบังคับอะไรที่พวกเราไม่ต้องการ บทเรียนี้ทำให้พี่รับรู้และโตขึ้นเช่นกันว่าระบบการศึกษาของบ้านเรา วิธีแบบไทยๆมันคงต้องเริ่มจากการบังคับแล้วค่อยเจียระไนถึงจะสามารถได้ดีได้ครับ

หากได้พบกันข้างนอกคราวหน้า ก็ทักทายกันบ้าง หากมีอะไรที่พี่ช่วยได้ก็บอกมานะครับ พี่จะคอยช่วยอยู่เสมอ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว ไม่ทิ้งกันหรอกครับ

I'll be there

aunztrumpet


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น